
สรุปคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 2494/2564 คดีหมายเลขแดงที่ 582/2566
(คดีพิพาทเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนที่ดินบริเวณพื้นที่ทางแยกเขากระโดง)
คดีนี้การรถไฟแห่งประเทศไทย (ผู้ฟ้องคดี) ฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือ ที่ รฟ 1/1911/2564 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2564 ขอให้อธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ใช้อำนาจตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดำเนินการตรวจสอบที่ดินบริเวณพื้นที่ทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ และดำเนินการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ทับซ้อนในที่ดินบริเวณที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีทั้งหมด โดยมีคำขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อทำการสอบข้อเท็จจริงในการออกหนังสือแสดงสิทธิทับที่ดินของผู้ฟ้องคดีในพื้นที่บริเวณดังกล่าว และขอให้กรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ชดใช้ค่าเสียหายปีละ 707,595,034 บาท และค่าขาดประโยชน์รายเดือน เดือนละ 58,966,253 บาท นับถัดจากวันฟ้อง
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีภารกิจหน้าที่ในการคุ้มครอง ดูแลและรักษาที่ดินของรัฐทุกประเภท และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในฐานะผู้บังคับบัญชาก็ย่อมมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ให้สำเร็จลุล่วงตามภารกิจที่ถูกกำหนดไว้ เมื่อคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876/2560 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 ได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดแจ้งว่า ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375 + 650 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน พระพุทธศักราช 2462 เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง จึงถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ฟ้องคดี ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีที่ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟ แลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 และถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองและป้องกันที่ดินบริเวณดังกล่าวตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2557 ประกอบกับคำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า อีกทั้งที่ดินบริเวณที่ศาลมีคำพิพากษากล่าวอ้างถึงมีฐานะเป็นที่ดินของรัฐซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนโดยทั่วไปได้ หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองกล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ ประกอบกับ ผู้ฟ้องคดีได้ตรวจสอบเอกสารทางทะเบียนจากสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ พบว่า มีการออกโฉนดที่ดินทับซ้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดีประมาณ 850 แปลง แต่ผู้ฟ้องคดีดำเนินการคัดถ่ายเอกสารมาได้บางส่วน จำนวน 497 แปลง ปรากฏตามเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 15 อีกทั้ง ปรากฏข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบของคณะทำงานตามคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 822/2565 ลงวันที่ 4 เมษายน 2565 ว่า จากการลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง พบข้อมูลหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่อยู่ในบริเวณที่ดินที่ผู้ฟ้องคดีอ้างสิทธิ ในเบื้องต้นพบว่า มีการออกโฉนดที่ดิน จำนวนประมาณ 396 ฉบับ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำนวนประมาณ 376 ฉบับ รวมเป็นหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทั้งสิ้น จำนวนประมาณ 772 ฉบับ กรณีจึงเป็นความปรากฏขึ้นจากการที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้อำนาจ ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ว่าได้มีการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าจะเป็นการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็สามารถมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดินไปก่อนได้ โดยไม่จำต้องรอให้ตรวจสอบพบหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทั้งหมดหรือพบข้อเท็จจริงจนชัดแจ้งแล้วจึงจะมีคำสั่งแต่งตั้ง ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจึงละเลยต่อหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
เมื่อที่ดินพิพาทในคดีนี้ยังไม่มีการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินและคืนสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้ครอบครองที่ดิน และไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้เข้าใช้ประโยชน์ที่ดินในลักษณะใด จึงยังไม่อาจถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายจากการไม่ได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินแต่อย่างใด ส่วนความเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าสามารถนำออกให้เช่าหรือทำประโยชน์ได้ตามระเบียบการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 129 ก็เป็นเพียงการคาดการณ์ในอนาคตของผู้ฟ้องคดีในกรณีที่มีการนำที่ดินออกทำประโยชน์แล้วเท่านั้น กรณีจึงยังรับฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองทำละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีตามมาตรา 420 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใดฃ
พิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ให้แล้วเสร็จภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ยกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา ให้ผู้ฟ้องคดีร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของผู้ฟ้องคดี ตามคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขแดงที่ 842 - 876/2560 และที่ 8027/2561 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 3 คดีหมายเลขแดงที่ 1112/2563 เพื่อให้คณะกรรมการสอบสวนจัดทำรายงานการสอบสวนให้แล้วเสร็จตามหลักเกณฑ์ วิธีการที่ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องกำหนดต่อไป
สำนักงานศาลปกครอง 30 มีนาคม 2566