• แผนผังเว็บไซต์
  • ติดต่อหน่วยงาน
  • หน้าหลัก
  • ศาลปกครอง
    • พระราชดำรัส
    • ประวัติความเป็นมา
    • ตราสัญลักษณ์
    • วิสัยทัศน์และพันธกิจ
    • แผนแม่บทศาลปกครอง
    • เขตอำนาจของศาลปกครอง
    • ผู้บริหารศาลปกครอง
    • นโยบายประธานศาลปกครองสูงสุด
    • โครงสร้างศาลปกครอง
    • ศาลปกครองในภูมิภาค
    • ข้อควรรู้เกี่ยวกับการฟ้องคดีปกครอง
    • สถิติคดีปกครอง
  • สำนักงานศาลปกครอง
    • โครงสร้างและภารกิจ
    • ผู้บริหารสำนักงาน
    • วัฒนธรรมศาลปกครอง(TRUST)
    • ITA สำนักงานศาลปกครอง
    • ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของประชาชนต่อศาลปกครอง
    • รายงานประจำปี
    • รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน
    • รายงานผลการดำเนินงานคณะกรรมการตรวจสอบ
    • ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์และจดหมายเหตุศาลปกครอง
  • วิชาการ
    • บทความวิชาการ
    • นานาความรู้เรื่องกฎหมายมหาชน
    • อุทาหรณ์จากคดีปกครอง
    • คำแปลคำพิพากษาต่างประเทศ
    • คำแปลคำวินิจฉัยของศาลปกครองไทย
    • วารสาร/หนังสือวิชาการ
  • สืบค้นข้อมูล
    • สืบค้นคำพิพากษา/คำสั่ง/คำแถลงการณ์ฯ
    • คำพิพากษาคำสั่งศาลปกครองสูงสุดจำแนกตามประเภทคดี
    • สืบค้นบัญชีนัดศาลปกครอง
    • สืบค้นบัญชีการฟ้องคดี
    • สืบค้นข้อมูลวิชาการ
  • กฎหมาย/กฎ
    • กฎหมาย
    • กฎ
    • คำแปลกฎหมายและกฎภาษาอังกฤษ
    • คำอธิบายกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
    • ประกาศรายชื่อกฎหมายและหน่วยงานที่รับผิดชอบฯ
  • ประชาสัมพันธ์
    • ข่าวประชาสัมพันธ์
    • ข่าวรับสมัครงาน
    • ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
    • ประกาศต่าง ๆ
    • สื่อประชาสัมพันธ์
    • คดีเด่น
    • ย้อนข่าว...เล่าคดีปกครอง
    • ดรรชนีข้อมูลข่าวสารฯ
    • บัญชีรายละเอียดการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการสำนักงานศาลปกครอง
  • บริการประชาชน
    • ยื่นฟ้องคดีปกครองออนไลน์
    • กำหนดระยะเวลาดำเนินงานคดีปกครอง
    • ปรึกษาคดีปกครองออนไลน์
    • ดาวน์โหลดแบบฟอร์มศาลและตัวอย่างการเขียน
    • ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันศาลปกครอง
    • หอสมุดกฎหมายมหาชนออนไลน์
    • เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เสมือน
    • ติดต่อศึกษาดูงานศาลปกครอง
    • ศูนย์บริการประชาชน
    • รวมเว็บไซต์ที่น่าสนใจ
    • แจ้งเบาะแสการทุจริต
    • ร้องเรียนการปฏิบัติงานเจ้าหน้าที่ศาลปกครอง
    • ถาม-ตอบ[Q&A]
    • สื่อการเรียนรู้ออนไลน์
    • มุมความรู้สำหรับประชาชน
  • ติดต่อหน่วยงาน

    ที่อยู่ติดต่อ

    ศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองกลาง และสำนักงานศาลปกครอง
    เลขที่ 120 หมู่ที่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่
    กรุงเทพมหานคร 10210

    • โทรศัพท์ 0 2141 1111
    • Call Center 1355
    • saraban@admincourt.go.th

     

    • Facebook
    • Line Official Account
    • Youtube
    • Instagram
    • Twitter
  • เมนู
  1. หน้าแรก
  2. มุมความรู้สำหรับประชาชน
  3. สื่อประชาสัมพันธ์
  4. รายละเอียด
ศาลปกครองเพชรบุรีมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา
ศาลปกครองเพชรบุรีมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา

        ศาลปกครองเพชรบุรีมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ดำเนินการปิดจุดระบายน้ำล้นที่ฝายน้ำล้น (Weir) ทุกจุด เพื่อไม่ให้น้ำเสียไหลล้นลงบ่อผันน้ำฝนลงสู่ทะเลบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ และทำการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ใช้ในการปิดกั้นน้ำทะเลเพื่อมิให้น้ำทะเลไหลเข้าออกมารวมกับบ่อผันน้ำฝนและน้ำเสีย รวมทั้งให้ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันหาวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหากรณีมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากในช่วงฤดูฝนฤดูมรสุม หรือหากมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง เพื่อมิให้เกิดปัญหาน้ำท่วมต่อไป  ทั้งนี้ ให้ดำเนินการทันที

       เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2566 ศาลปกครองเพชรบุรีมีคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ ส. 2/2565 ระหว่าง จ่าอากาศเอก เสกสรรค์  จันทร  ที่ 1  นายสุรยุทธ  ยงชัยยุทธ  ที่ 2  ผู้ฟ้องคดี  กระทรวงมหาดไทย  ที่ 1 ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์  ที่ 2  เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์  ที่ 3  กระทรวงคมนาคม  ที่ 4  สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3  ที่ 5  ผู้ถูกฟ้องคดี 
        คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้งสองฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นประชาชนอยู่ในเขตเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ และเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากชายหาดอ่าวประจวบคีรีขันธ์ ในการออกกำลังกายและสันทนาการพักผ่อนหย่อนใจ โดยก่อนวันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ผู้ฟ้องคดีทั้งสองพบเห็นการปล่อยน้ำเสียจากชุมชน ซึ่งมีกลิ่นเหม็น สีดำคล้ำ และไม่ผ่านการบำบัด ลงสู่ชายหาดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่รอยต่อหน้ากองบิน 5 ถึงด้านหน้าสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ตลอดแนวชายหาด ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ให้ทำการตรวจสอบและดำเนินการกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมาย แต่ไม่ปรากฏว่ามีการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 จึงนำเอกสารหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองประจวบคีรีขันธ์ ให้ดำเนินคดีกับหัวหน้าสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 3 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และพวก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  ต่อมา วันที่ 22 มิถุนายน 2565 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมด้วยผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ ปลัดเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ เจ้าหน้าที่จากสำนักองค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.จ.) ได้ลงพื้นที่บริเวณชายหาดหน้าอ่าวประจวบคีรีขันธ์ เพื่อตรวจสอบการปล่อยน้ำเสียลงชายหาดในจุดที่มีปลายท่อใกล้โรงแรมหาดทอง และร้านอาหารเพลินสมุทร ซึ่งพบว่าน้ำเสียจากชุมชนไม่ได้ไหลผ่านท่อเพื่อผ่านระบบบำบัดน้ำเสีย  หลังจากนั้น สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ มีหนังสือ ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2565 สั่งให้นายกเทศมนตรีเมืองประจวบคีรีขันธ์ ปิดท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำเสียที่ยังไม่ได้ผ่านการบำบัดไหลลงสู่ชายหาดและทะเลบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ไม่ได้ดำเนินการใดๆ ทำให้น้ำเสียไหลลงทะเลตามปกติตลอด 24 ชั่วโมง และเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2565 เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้นำน้ำเสียจากบริเวณหน้าโรงแรมประจวบบีช โรงแรมหาดทอง และบริเวณหน้าสะพานสราญวิถี ส่งตรวจวิเคราะห์ พบว่า ค่าความสกปรกในรูปของสารอินทรีย์ (BOD) ค่าน้ำมันและไขมัน (FOG) และค่าไนโตรเจนทั้งหมด (TN) มีค่าเกินมาตรฐาน  ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเห็นว่า การปล่อยน้ำเสียลงชายหาดและทะเลบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ดังกล่าว เป็นการทำลายระบบนิเวศน์ ห่วงโซ่อาหารของสัตว์ทะเล ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีพ และจิตใจของชาวชุมชนบริเวณชายหาดอ่าวประจวบคีรีขันธ์ ทั้งที่เดิมชายหาดอ่าวประจวบคีรีขันธ์เป็นชายหาดที่มีทรายละเอียดเป็นสีขาว ทัศนียภาพสวยงาม สงบสุข และเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของชุมชน ตลอดจนเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งชาวบ้านบริเวณดังกล่าวได้ร้องเรียนต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 มาโดยตลอดแต่ไม่มีการดำเนินการใด ๆ จึงเป็นการจงใจละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายต่ออ่าวประจวบคีรีขันธ์ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณค่าอันประเมินมิได้ ผู้ฟ้องคดีทั้งสอง จึงนำคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ปิดท่อบริเวณที่มีน้ำเสียไหลลงทะเล 30 จุด ตั้งแต่ด้านหน้ากองบิน 5 ถึงโรงสูบน้ำเสียตรงข้างสำนักงานศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นการถาวร เพื่อให้น้ำเสียในเขตเทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ถูกนำไปบำบัดที่บ่อบำบัดน้ำเสียตามภารกิจและอำนาจหน้าที่ และมีคำขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการคุ้มครองเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ปิดท่อระบายน้ำจำนวน 30 จุด ตั้งแต่รอยต่อหน้ากองบิน 5 ถึงด้านหน้าสำนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยทันที 
        ศาลปกครองเพชรบุรีวินิจฉัยความสรุปว่า เมื่อข้อเท็จจริงจากคำฟ้อง คำชี้แจงของคู่กรณี ตลอดจนการตรวจสถานที่และเอกสารอื่นในสำนวนคดี ฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้ดำเนินการก่อสร้างระบบและวางระบบรวบรวมน้ำเสีย ออกแบบโดยกรมโยธาธิการ ซึ่งมีรูปแบบระบายน้ำและท่อรวบรวมน้ำเสียเป็นระบบท่อรวม (Combined system) ทำหน้าที่รวบรวมน้ำเสียจากชุมชนไปยังบ่อบำบัดรวบรวมน้ำเสีย มีสถานีสูบน้ำเสียที่ 2 (PS2) และสถานีสูบน้ำเสียที่ 3 (PS3) ทำหน้าที่ส่งน้ำเสียผ่านท่อไปยังสถานีสูบน้ำเสียที่ 1 (Ps1) และส่งไปยังโรงปรับปรุงคุณภาพน้ำเพื่อทำการบำบัดก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำตามธรรมชาติ บริเวณคลองบางนางรม โดยระบบระบายน้ำและท่อรวบรวมน้ำเสียจากชุมชนดังกล่าว มีการออกแบบก่อสร้างไว้ให้น้ำในท่อสามารถไหลล้น (Overflow) เพื่อรองรับปริมาณน้ำที่มีจำนวนมากลงจุดระบายน้ำล้นในบ่อผันน้ำฝน จำนวน 4 จุด ได้แก่ (1) บ่อผันน้ำฝนหน้าโรงแรมประจวบบีช (2) บ่อผันน้ำฝนหน้าโรงแรมหาดทอง (3) บ่อผันน้ำฝนข้างสะพานสราญวิถี ทั้งซ้ายและขวา และ (4) บ่อผันน้ำฝนหน้าห้องน้ำสาธารณะ ด้านหน้าสถานีสูบน้ำเสียที่ 2 (Ps2) ซึ่งการไหลล้น (Overflow) ดังกล่าว จะเป็นการไหลผ่านฝายน้ำล้น (Weir) ลงบ่อผันน้ำฝนลงสู่ทะเล โดยข้อเท็จจริงปรากฏตามคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 ว่า เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2565 สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาประจวบคีรีขันธ์ ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภาค 8 จังหวัดราชบุรี ได้เก็บตัวอย่างน้ำจากท่อระบายน้ำบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 3 จุด ได้แก่ บ่อผันน้ำฝนด้านหน้าของโรงแรมประจวบบีช บ่อผันน้ำฝนด้านหน้าของโรงแรมหาดทอง และบ่อผันน้ำฝนด้านข้างของสะพานสราญวิถี เพื่อดำเนินการวิเคราะห์ค่ามาตรฐานน้ำทิ้ง ผลการตรวจปรากฏว่า คุณภาพน้ำทิ้งจากท่อของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 โดยเทียบเคียงกับมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชน ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2553 พบว่า มีค่าความสกปรกในรูปแบบสารอินทรีย์ (BOD) และค่าน้ำมันและไขมัน (FOG) มีค่าเกินมาตรฐานทั้ง 3 จุด และพบว่าจุดเก็บตัวอย่างน้ำบริเวณหน้าโรงแรมหาดทอง มีค่าไนโตรเจน (TN) เกินกว่าค่ามาตรฐานกำหนด และปรากฏตามรายงานการตรวจสอบ วิเคราะห์ และแปลผลคุณภาพน้ำของพยานผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งได้จัดเก็บตัวอย่างน้ำในวันที่ศาลออกตรวจสถานที่พิพาทเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จำนวน 3 ตัวอย่าง โดยใช้วิธีการเทียบเคียงกับมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. 2553) ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553 สรุปได้ว่า ผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำตัวอย่าง ที่เก็บจากท่อระบายน้ำทิ้งบริเวณหน้าโรงแรมประจวบบีช พบว่ามีค่าเป็นไปตามมาตรฐานที่ใช้เทียบเคียง ส่วนผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำตัวอย่าง ที่เก็บจากท่อระบายน้ำทิ้งบริเวณหน้าโรงแรมหาดทอง พบว่าค่าความสกปรกในรูปของสารอินทรีย์ (BOD) มีค่าเท่ากับ 42.41 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งเกินมาตรฐานที่ใช้เทียบเคียง  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเห็นว่า การที่ระบบบำบัดน้ำเสียรวมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 มีรูปแบบระบายน้ำและท่อรวบรวมน้ำเสียเป็นระบบท่อรวม (Combined system) ซึ่งรองรับทั้งน้ำเสียจากชุมชนและน้ำฝน โดยระบบระบายน้ำดังกล่าวมีการออกแบบก่อสร้างไว้ให้น้ำในท่อสามารถไหลล้น (Overflow) ผ่านฝายน้ำล้น (Weir) ลงบ่อผันน้ำฝนลงสู่ทะเล ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ยอมรับว่าได้รับทราบปัญหาการปล่อยน้ำเสียจากท่อระบายน้ำลงสู่ทะเลบริเวณหาดประจวบคีรีขันธ์ดังกล่าว และดำเนินการประชุมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้พยายามแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวในระยะเร่งด่วนอย่างต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า การเก็บตัวอย่างน้ำทิ้งจากระบบบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชน ณ วันที่ศาลออกตรวจสถานที่เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 บริเวณหน้าโรงแรมประจวบบีชและหน้าโรงแรมหาดทอง ซึ่งเป็นการเก็บตัวอย่างน้ำที่ไหลล้นจากฝายน้ำล้น (Weir) ทั้งสองจุด ปรากฏว่าตัวอย่างน้ำทิ้งที่ไหลล้นจากฝายน้ำล้น (Weir) บริเวณหน้าโรงแรมหาดทอง ก็ยังมีคุณภาพน้ำทิ้งเกินค่ามาตรฐาน ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (พ.ศ. 2553) ประกาศ ณ วันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553 อีกทั้งข้อเท็จจริงยังเห็นได้อย่างชัดแจ้งตามภาพถ่ายในวันที่ศาลออกตรวจสถานที่พิพาทว่า บริเวณจุดระบายน้ำล้นหน้าหน้าโรงแรมหาดทอง มีภาพน้ำล้นจากฝายน้ำล้น (Weir) ไหลลงสู่ทะเล และอุปกรณ์ที่ใช้ในการปิดกั้นน้ำทะเลเพื่อมิให้ไหลเข้าออกมารวมกับบ่อผันน้ำฝนและน้ำเสียนั้น ปรากฏว่ามีการชำรุดและไม่มีการปิดกั้นน้ำทะเลและน้ำเสียแต่อย่างใด ทำให้น้ำเสียบางส่วนไหลลงสู่ทะเลบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์  ดังนั้น จึงเห็นว่าคำฟ้องคดีนี้มีมูลและมีเหตุเพียงพอที่จะฟังได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ยังคงละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการปล่อยน้ำเสียจากท่อระบายน้ำลงสู่ทะเลบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ ประกอบกับ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ชี้แจงว่า หากศาลจะมีคำสั่งให้ปิดจุดระบายน้ำล้นทั้ง 4 จุด ซึ่งเป็นจุดผันน้ำฝน ในส่วนของการรวบรวมน้ำเสียไปบำบัดจะไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากระบบท่อที่ออกแบบไว้จะสามารถรองรับปริมาณน้ำเสียจากชุมชนได้และปริมาณน้ำเสียจะไม่สูงเกินกว่าระดับของฝายน้ำล้น (Weir) เว้นเสียแต่ระบบทางเดินท่อรวบรวมน้ำเสียอาจมีปัญหา หรืออาจมีการชำรุด หรืออาจมีสิ่งใดกั้นขวางทางน้ำ เป็นต้น  อาศัยข้อเท็จจริงและเหตุผลดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น จึงเห็นควรกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ดำเนินการปิดจุดระบายน้ำล้นที่ฝายน้ำล้น (Weir) ทุกจุด เพื่อไม่ให้น้ำเสียไหลล้นลงบ่อผันน้ำฝนลงสู่ทะเลบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ และทำการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ใช้ในการปิดกั้นน้ำทะเลเพื่อมิให้น้ำทะเลไหลเข้าออกมารวมกับบ่อผันน้ำฝนและน้ำเสีย รวมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันหาวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหากรณีมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากในช่วงฤดูฝน ฤดูมรสุม หรือหากมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง เพื่อมิให้เกิดปัญหาน้ำท่วมต่อไป  ทั้งนี้ ตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ข้อ 75 และข้อ 77 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543 ประกอบกับมาตรา 254 วรรคหนึ่ง (2) และมาตรา 255 (2) (ก) (ข) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 
       จึงมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ดำเนินการปิดจุดระบายน้ำล้นที่ฝายน้ำล้น (Weir) ทุกจุด เพื่อไม่ให้น้ำเสียไหลล้นลงบ่อผันน้ำฝนลงสู่ทะเลบริเวณอ่าวประจวบคีรีขันธ์ และทำการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ใช้ในการปิดกั้นน้ำทะเลเพื่อมิให้น้ำทะเลไหลเข้าออกมารวมกับบ่อผันน้ำฝนและน้ำเสีย รวมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันหาวิธีการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหากรณีมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากในช่วงฤดูฝน ฤดูมรสุม หรือหากมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง เพื่อมิให้เกิดปัญหาน้ำท่วมต่อไป  ทั้งนี้ ให้ดำเนินการทันทีที่ได้รับคำสั่งศาล จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

 

                                                                   สำนักงานศาลปกครองเพชรบุรี  วันที่ 27 มีนาคม 2566

 

วันทีประกาศข่าว: 29 มี.ค. 2566

เอกสารประกอบ

    ข่าวศาลปกครองเพชรบุรี 188.2B
    คำสั่งศาลปกครองเพชรบุรี 951.82B





สื่อประชาสัมพันธ์อื่นๆ

คดีเด็ด 7 บรรทัด Ep. 146
29 พ.ค. 2566
อ่านต่อ
เอกสารประชาสัมพันธ์ ชุด รู้ไว้ก่อนไปศาลปกครอง (ฉบับล่าสุด)...
29 พ.ค. 2566
อ่านต่อ
บทความวิชาการ อุทาหรณ์คดีปกครอง เรื่อง สิทธิการฟ้องคดี กรณีถูกยกเลิกทะเบียนตำรับยา...
26 พ.ค. 2566
อ่านต่อ
บทความวิชาการ อุทาหรณ์คดีปกครอง เรื่อง สมาชิก ช.พ.ค. ขาดส่งเงิน ... ถอนชื่อไม่ได้ หากยังไม่ติดตามทวงถาม...
26 พ.ค. 2566
อ่านต่อ
เอกสารประชาสัมพันธ์รายปักษ์ ACT News ฉบับที่ 177 (วันที่ 1 - 15 พฤษภาคม 2566)...
23 พ.ค. 2566
อ่านต่อ
คดีเด็ด 7 บรรทัด Ep. 145
22 พ.ค. 2566
อ่านต่อ
เขตอำนาจศาลปกครองเขตอำนาจศาลปกครอง
ศาลปกครอง
  • วิสัยทัศน์และพันธกิจ
  • แผนแม่บทศาลปกครอง
  • นโยบายประธานศาลปกครองสูงสุด
  • โครงสร้างศาลปกครอง
  • ข้อควรรู้เกี่ยวกับการฟ้องคดีปกครอง
  • การฟ้องคดีปกครอง
  • การดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีปกครอง
  • ค่าธรรมเนียมศาล
  • แบบพิมพ์เกี่ยวกับคดี
  • การบังคับคดีปกครอง
สืบค้นข้อมูล
  • สืบค้นคำพิพากษา/คำสั่ง/คำแถลงการณ์ฯ
  • คำพิพากษาคำสั่งศาลปกครองสูงสุดจำแนกตามประเภทคดี
  • สืบค้นบัญชีนัดศาลปกครอง
  • สืบค้นข้อมูลวิชาการ
ประชาสัมพันธ์
  • ข่าวประชาสัมพันธ์
  • ข่าวรับสมัครงาน
  • ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
  • ประกาศต่าง ๆ
  • สื่อประชาสัมพันธ์
  • ย้อนข่าว...เล่าคดีปกครอง
บริการประชาชน
  • ยื่นฟ้องคดีปกครองออนไลน์
  • กำหนดระยะเวลาดำเนินงานคดีปกครอง
  • ปรึกษาคดีปกครองออนไลน์
  • ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันศาลปกครอง
  • เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เสมือน
  • ศูนย์บริการประชาชน
  • มุมความรู้สำหรับประชาชน
  • บริการสำหรับเจ้าหน้าที่
เขตอำนาจศาลปกครองเขตอำนาจศาลปกครอง

ศาลปกครอง

  • วิสัยทัศน์และพันธกิจ
  • แผนแม่บทศาลปกครอง
  • นโยบายประธานศาลปกครองสูงสุด
  • โครงสร้างศาลปกครอง
  • ข้อควรรู้เกี่ยวกับการฟ้องคดีปกครอง

วิชาการ

  • บทความวิชาการ
  • นานาความรู้เรื่องกฎหมายมหาชน
  • อุทาหรณ์จากคดีปกครอง
  • คำแปลคำวินิจฉัยของศาลปกครองไทย
  • วารสาร/หนังสือวิชาการ

สืบค้นข้อมูล

  • สืบค้นคำพิพากษา/คำสั่ง/คำแถลงการณ์ฯ
  • คำพิพากษาคำสั่งศาลปกครองสูงสุดจำแนกตามประเภทคดี
  • สืบค้นบัญชีนัดศาลปกครอง
  • สืบค้นข้อมูลวิชาการ

ประชาสัมพันธ์

  • ข่าวประชาสัมพันธ์
  • ข่าวรับสมัครงาน
  • ข่าวจัดซื้อจัดจ้าง
  • ประกาศต่าง ๆ
  • สื่อประชาสัมพันธ์
  • ย้อนข่าว...เล่าคดีปกครอง

บริการประชาชน

  • ยื่นฟ้องคดีปกครองออนไลน์
  • กำหนดระยะเวลาดำเนินงานคดีปกครอง
  • ปรึกษาคดีปกครองออนไลน์
  • ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันศาลปกครอง
  • เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เสมือน
  • ศูนย์บริการประชาชน
  • มุมความรู้สำหรับประชาชน

เลขที่ 120 หมู่ที่ 3 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 10210
โทรศัพท์ 0 2141 1111 E-mail saraban@admincourt.go.th
สงวนลิขสิทธิ์ © 2565 ศาลปกครอง
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล