ทำบุญกับนกพิราบ ..แต่อาจสร้างบาปกับเพื่อนบ้านเราเอง
ทำบุญกับนกพิราบ ..แต่อาจสร้างบาปกับเพื่อนบ้านเราเอง

นายเทอดพงศ์ คงจันทร์
อนุกรรมการด้านข้อมูลข่าวสารและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อม


  “นกพิราบ”  สัญลักษณ์แห่งสันติภาพอันเป็นที่ทราบกันทั่วโลก
                แต่นกพิราบก็เป็นพาหะนำโรคชั้นดีได้เหมือนกัน โดยเฉพาะโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ 
                ที่สำคัญ ... ธรรมชาติของนกพิราบมันจะอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน เวลามีแหล่งอาหาร มันก็จะทิ้งดิ่งสามัคคีกันลงมากินอาหารกันเป็นหมู่คณะเชียว ถ้าดูจากสวนสาธารณะต่างๆ ก็พอจะเห็นกันได้ 
                ทีนี้ถ้าเกิดไม่มีการดูแลเรื่องเก็บกวาดเศษอาหาร มูลนกกันให้ดีหละก็ สารพัดเชื้อโรคและกลิ่นเหม็นเลยเชียว ที่จะก่อความเดือดร้อนรำคาญต่อสุขภาพอนามัยของผู้คน 
                กฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุขจึงกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องดูแลไม่ให้เกิดปัญหามลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ใดก็ตาม 
                แต่คราวนี้สำหรับประชาชนคนใจบุญบางท่าน เขาก็เกิดนึกสงสารนกพิราบผู้หิวโหย เขาก็อาจจะให้อาหารกันในบ้านของเขา 
                อย่างเนี้ย ... ถ้ามันสร้างความเดือดร้อนต่อเพื่อนบ้านหรือชุมชน เจ้าหน้าที่จะทำอะไรได้บ้าง ก็ต้องมาติดตามเรื่องที่จะเล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้
                เรื่องนี้เกิดที่กรุงเทพ ความมันเกิดก็เพราะว่า คุณลุงท่านนี้แกใจบุญ เอาเศษอาหารเหลือกิน มาเลี้ยงหมาแมวของแกในบ้าน 
                คราวนี้ปริมาณอาหารมันคงเหลือเฟือพอที่จะเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์ชนิดอื่นได้ เจ้านกพิราบที่มีเป็นฝูงแถวนั้นมันก็เลยขอแจมอาหารบุฟเฟ่ต์ของหมาแมวคุณลุงแกด้วย 
                ไม่มีปัญหา ... คุณลุงใจบุญคงคิดงั้น เพราะหลังจากนั้น ทุกวันคุณลุงแกต้องจัดปาร์ตี้เลี้ยงอาหารสัตว์ทั้งหมา แมวแล้วก็แขกรับเชิญพิเศษ คือเจ้านกพิราบทั้งฝูงทุกวี่วัน วันละสองเวลา ... จัดกันเต็มๆ 
                เรียกว่า “กินฟรี มีเกียรติ” กันไป สำหรับเจ้านกพิราบพวกนั้น !!
                ได้บุญเต็มอิ่มเลยสำหรับคุณลุง ... 
                แต่ที่น่าเห็นใจ กลับเป็นชาวบ้านแถวๆ นั้น หนะซี รับบาปเคราะห์กันไปถ้วนหน้า 
                เพราะว่าหลังจากมีปาร์ตี้เลี้ยงอาหารสัตว์กันทุกวี่วัน ปรากฏว่าเจ้านกพิราบแขกรับเชิญคนพิเศษ ดันทิ้งร่องรอยฝากไว้ให้แก่ชาวบ้าน เป็นอนุสรณ์เตือนความทรงจำกันไม่รู้จาง 
                ทั้งอุจจาระ ขนนกพิราบ เศษอาหารตกค้าง ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งกันไปหมด รบกวนชาวบ้านชาวช่องกันถ้วนทั่ว ชาวบ้านทนไม่ไหว สุดท้ายเลยต้องไปร้องเรียนเอากับผู้อำนวยการเขต 
                ผู้อำนวยการเขตท่านเลยส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบพื้นที่ ... เลยเห็นกันจะจะว่า จากสภาพน่าจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ และกระทบต่อสุขภาพอนามัยของชาวบ้านที่พักอาศัยในบริเวณนั้นจริง 
                เพราะในบ้านของคุณลุงและบริเวณใกล้เคียงมีกลิ่นอับชื้นอยู่ทั่ว พบเศษอาหารตกค้าง แล้วก็ยังมีนกพิราบป่วยแยกขังไว้ในกรง 3 – 4 ตัว 
                นอกจากนั้น ยังมีคอนพักของนกพิราบ 6 – 7 อัน มีนกพิราบเกาะอยู่บนคอนจำนวนมาก และจะกินเศษอาหารในบ้านพักของคุณลุง แถมยังถ่ายอุจจาระทิ้งไว้เพียบ 
                หนำซ้ำตอนนกพิราบบินเข้าออกบ้าน ก็จะมีฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว 
                ผู้อำนวยการเขตทราบเรื่อง เลยเห็นท่าจะปล่อยไว้ไม่ไหว เพราะมันก่อมลพิษทางกลิ่น เสียง และอาจจะมีโรคภัยบางอย่างจากขี้นกติดต่อเข้าสู่ร่างกายคนได้ 
                ผู้อำนวยการเขตเลยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข มีคำสั่งให้คุณลุงหยุดให้อาหารนกพิราบและทำความสะอาดเก็บกวาดมูลสัตว์ให้สะอาดเรียบร้อย 
                เจอคำสั่งเข้าอย่างนี้ ... คุณลุงแกก็เลยของขึ้นเอานะสิ  อุวะ ... คนเค้าโปรดสัตว์เอาบุญ มาขวางทางบุญกันเสียได้ 
                แล้วนี่แกก็ไม่ได้ไปให้อาหารนกพิราบในที่สาธารณะเสียหน่อย ให้กันในบ้านของแกแท้ๆ เจ้าหน้าที่มีสิทธิอะไร มายุ่งกับเรื่องในบ้านสถานส่วนตัวของแก ฮั่นแน่ ... อ้างสิทธิในเคหสถานเสียด้วย อย่างโก้เชียว ! 
                ขันติก็เลยกลายเป็นขันแตกในบัดดล คุณลุงแกเลยมายื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของผู้อำนวยการเขต เพื่อที่แกจะได้ให้อาหารนกพิราบเป็นการก่อบุญสุนทานต่อไป 
                แหมๆ ... ฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจตามกฎหมาย มีคำสั่งให้ประชาชนหยุดก่อความเดือดร้อนแก่สุขอนามัยของชุมชน โดยอ้างว่าเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนอย่างนี้ มันก็เป็น “คดีปกครองเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม” กันชัดๆ นะสิโยม !
                คดีความมันก็เลยสู้กันในศาลปกครองต่อเนื่องกันมาถึงสองชั้นศาล !!!
                ซึ่งสุดท้ายศาลปกครองสูงสุดท่านก็ได้มีคำวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีนำเศษอาหารที่เหลือจากการเลี้ยงสุนัขมาโปรยบริเวณบ้านเพื่อให้นกพิราบมากินเศษอาหารดังกล่าว 
                ซึ่งเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขตรวจสอบแล้วเห็นว่าน่าจะเป็นเหตุรำคาญ เพราะบริเวณบ้านผู้ฟ้องคดี และใกล้เคียงมีกลิ่นอับชื้น 
                พบเศษอาหารตกค้างภายในบ้านของผู้ฟ้องคดี และมีคอนพัก 6 - 7 อัน มีนกพิราบเกาะอยู่บนคอนจำนวนมาก 
                เมื่อนกพิราบจำนวนมากบินเข้าออกบ้านของผู้ฟ้องคดีเพื่อกินเศษอาหารดังกล่าว จะมีฝุ่นฟุ้งกระจายและมีมูลนกในบริเวณใกล้เคียงด้วย 
                ศาลเห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีนำเศษอาหารมาโปรยเพื่อให้นกพิราบมากินเศษอาหารดังกล่าว ซึ่งผู้ฟ้องคดีรับว่าผู้ฟ้องคดีให้อาหารนกพิราบเพื่อเป็นการสงเคราะห์สัตว์ 
                ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเลี้ยงนกพิราบดังกล่าว และการให้อาหารนกพิราบของผู้ฟ้องคดีทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจาย พร้อมทั้งมีมูลนกและกลิ่นอับชื้นบริเวณบ้านของผู้ฟ้องคดีและละแวกใกล้เคียงด้วย 
                พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ อันเป็นกรณีที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อาศัยบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของผู้ฟ้องคดี
                การให้อาหารนกพิราบของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นเหตุรำคาญตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 
                ซึ่งตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้อำนาจผู้อำนวยการเขตห้ามผู้หนึ่งผู้ใดมิให้ก่อเหตุรำคาญในสถานที่เอกชนรวมทั้งการระงับเหตุรำคาญนั้นด้วย 
                ผู้อำนวยการเขตจึงมีอำนาจออกคำสั่งห้ามมิให้ผู้ฟ้องคดีก่อเหตุรำคาญพร้อมทั้งให้ระงับเหตุรำคาญตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นๆ จะอยู่ในที่สาธารณะหรือไม่ 
                ดังนั้น ข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีที่ว่า ผู้อำนวยการเขตมีอำนาจห้ามการกระทำผิดเฉพาะในที่สาธารณะและสถานประกอบการของเอกชนเท่านั้น จึงฟังไม่ขึ้น 
                ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษายกฟ้อง 
                เรื่องนี้เลยเป็นอุทาหรณ์ให้รู้ว่า จะใจบุญเลี้ยงอาหารสัตว์กันที ก็อาจต้องดูผลกระทบที่จะเกิดต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมด้วยเหมือนกันนะ.   (คดีหมายเลขแดงที่ อ.351/2553)


ปรับปรุงข้อมูลเมื่อ : 18 มี.ค. 2556, 11:20 น. | กลับขึ้นด้านบน |